วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

  

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้ รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะ ปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ
                ยาน อวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้อง ปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512 

ตำนานดาวอังคาร



 ใน วัฒนธรรมกรีก ดาวอังคารคือเทพเจ้าแห่งสงครามมีชื่อว่า เอเรส (Ares) หมายถึงเทพที่มีรูปงามและสูง แต่เอเรสเป็นเทพที่มีความโหดร้าย เอเรสมีน้องชายชื่อฮีเฟียสตุส น้องสาวชื่ออีรีส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งการต่อสู้ ทั้งน้องชายและน้องสาวต่างเป็นเพื่อนของเอเรส เอเรสมีลูกชาย 2 คน คือ ไดมอส และ โฟบอส
 เมื่อ เกิดสงคราม เอเรสจะสวมหมวกเหล็กและนั่งรถม้าออกไปทำศึกด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เอเรสจะสู้รบและฆ่าฟันอย่างคึกคะนองโดยไม่สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ เอเรสเป็นเทพที่เป็นอมตะ เมื่อได้รับบาดเจ็บจากสงคราม เอเรสจะกลับไปหาบิดา คือเทพเซอุส บิดาจะช่วยเยียวยาบาดแผลให้เอเรสจนหาย เอเรสไม่มีภรรยา แต่มีลูกที่ได้มาจากเทพธิดาอะโฟรไดตี
ชาวเมืองเทรเซียคือกลุ่มคนที่บูชาเทพเอเรส ชาวเมืองนี้ได้ฉายาว่าเป็นคนโหดร้าย
ชา วกรีกในยุคแรกๆ เชื่อว่าดาวอังคารเป็นดาวที่มีลักษณะพิเศษ ต่อมาในยุคโรมัน เทพแห่งดาวอังคาร เป็นเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิ การเจริญงอกงาม การสืบพันธุ์ และคุ้มครองฝูงสัตว์เลี้ยง นอกจากนั้นดาวอังคารยังเป็นสัญลักษณ์ของความตายและสงคราม ชาวโรมันเชื่อว่าเทพดาวอังคารเป็นบิดาของชาวโรมัน สถานที่สิงสถิตย์ของเทพดาวอังคารของโรมันอยู่ที่วิหารกราดิวุส ชาวโรมันจะมารวมตัวกัน ที่ก่อนออกไปทำสงคราม นอกจากนั้นยังมีสนามโล่งกว้างที่เรียกว่า The Campus Martius สนามแห่งนี้เป็นที่ฝึกฝนกีฬาและกองทหาร เมื่อเกิดสงคราม แม่ทัพจะแกว่งหอก และพูดตะโกนว่า "เทพแห่งดาวอังคารจงตื่นเถิด" เพื่อขวัญกำลังใจในการทำสงครามและชัยชนะ
ทุกๆวันที่ 1 มีนาคม จะมีพิธีเฉลอมฉลองเรียกว่า Feriae Marti และวันที่ 19 ตุลาคม จะมีพิธี Armilustrium

ซึ่ง เป็นพิธีที่ทหารจะนำอาวุธมาชำระล้างความบริสุทธิ์และเก็บไว้ในคลังอาวุธ
ใน ช่วงฤดูหนาว วันที่ 19และ 23 มีนาคมจะมีพิธีเรียกว่า
Quinquatrus พิธีนี้จะเป็นการนำอาวุธและแตรที่ใช้เป่าในการรบมาทำความ
สะอาด

ชาวฮินดู เรียกดาวอังคารว่า มังกาลา เป็นดาวแห่งสงคราม ซึ่งมีชื่อว่าคาร์ตติเก
ยา เทพแห่งสงครามเป็นบุตรของพระศิวะและพระนางปา
ร์วาตี เทพคาร์ตติเกยามี 6 เศียร 12 แขน มีพาหนะเป็นนกยูง และเป็นผู้ปราบ
ศัตรูที่ชื่อทารากา
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น