วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดาวพฤหัสบดี...ดาวเคราะห์ยักษ์


ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 และเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ นอกจากดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์แก๊สดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะได้แก่ ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ชื่อละตินของดาวพฤหัสบดี (Jupiter) มาจากเทพเจ้าโรมัน สัญลักษณ์แทนดาวพฤหัสบดี คือ เป็นสายฟ้าของเทพเจ้าซุส
ดาวพฤหัสบดีมีมวลสูงกว่ามวลของดาวเคราะห์อื่นรวมกันราว 2.5 เท่า ทำให้ศูนย์ระบบมวลระหว่าง ดาวพฤหัสบดีกับดวงอาทิตย์ อยู่เหนือผิวดวงอาทิตย์ (1.068 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ เมื่อวัดจากศูนย์กลางดวงอาทิตย์) ดาวพฤหัสบดีหนักว่าโลก 318 เท่า เส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11 เท่า และมีปริมาตรคิดเป็น 1,300 เท่าของโลก เชื่อกันว่าหากดาวพฤหัสบดีมีมวลมากกว่านี้สัก 60-70 เท่า อาจเพียงพอที่จะให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์จนกลายเป็นดาวฤกษ์ได้
ดาวพฤหัสบดีหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วสูงที่สุด เมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ ทำให้มีรูปร่างแป้นเมื่อดูผ่านกล้องโทรทรรศน์ นอกจากชั้นเมฆที่ห่อหุ้มดาวพฤหัสบดี ร่องรอยที่เด่นชัดที่สุดบนดาวพฤหัสบดี คือ จุดแดงใหญ่ ซึ่งเป็นพายุหมุนที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก
โดยทั่วไป ดาวพฤหัสบดีเป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในท้องฟ้า (รองจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวศุกร์ อย่างไรก็ตาม บางครั้งดาวอังคารก็ปรากฏสว่างกว่าดาวพฤหัสบดี) จึงเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การค้นพบดาวบริวารขนาดใหญ่ 4 ดวง ได้แก่ ไอโอ, ยูโรปา, แกนีมีด และคัลลิสโต โดยกาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อ ค.ศ. 1610 เป็นการค้นพบวัตถุที่ไม่ได้โคจรรอบโลกเป็นครั้งแรก นับเป็นจุดที่สนับสนุนทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางที่เสนอโดยโคเปอร์นิคัส การออกมาสนับสนุนทฤษฎีนี้ทำให้กาลิเลโอต้องเผชิญกับการไต่สวน



เทพจูปิเตอร์ หรือ เทพโจฟ (อังกฤษ: Jupiter หรือ Jove) เป็นประมุขของเทพในตำนานเทพปกรณัมโรมันที่เทียบเท่ากับเทพซูสใน ตำนานเทพปกรณัมกรีก เทพจูปิเตอร์เป็นเทพแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า จูปิเตอร์ได้รับชื่อว่า “Iuppiter” หรือ “Diespiter” เป็นเทพผู้พิทักษ์ของรัฐโรมัน จูปิเตอร์ครองอำนาจเหนือกฎหมายและความเป็นระเบียบของสังคม จูปิเตอร์พร้อมกับน้องสาว/ภรรยาเทพีจูโน และ เทพีมิเนอร์วาเป็นสามเทพที่สักการะบนจูโนคาพิโตลินา (Juno Capitolina) ในกรุงโรม
ในตำนานเทพลาตินจูปิเตอร์เป็นพ่อของเทพมาร์สกับเทพีจูโน ฉะนั้นจึงเป็นปู่ของรอมิวลุส ผู้ตามตำนานกล่าวว่าเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม นอกจากนั้นก็ยังมีความสัมพันธ์กับเทพีเซเรส และเป็นพ่อของเพอร์เซฟะนี และเทพเมอร์คิวรีกับแม่ Ops จูปิเตอร์เป็นลูกของเทพแซทเทิร์น และมีพี่น้องคือเทพเนปจูนและเทพพลูโต
  

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้ รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะ ปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ
                ยาน อวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้อง ปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512 

ตำนานดาวอังคาร



 ใน วัฒนธรรมกรีก ดาวอังคารคือเทพเจ้าแห่งสงครามมีชื่อว่า เอเรส (Ares) หมายถึงเทพที่มีรูปงามและสูง แต่เอเรสเป็นเทพที่มีความโหดร้าย เอเรสมีน้องชายชื่อฮีเฟียสตุส น้องสาวชื่ออีรีส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งการต่อสู้ ทั้งน้องชายและน้องสาวต่างเป็นเพื่อนของเอเรส เอเรสมีลูกชาย 2 คน คือ ไดมอส และ โฟบอส
 เมื่อ เกิดสงคราม เอเรสจะสวมหมวกเหล็กและนั่งรถม้าออกไปทำศึกด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เอเรสจะสู้รบและฆ่าฟันอย่างคึกคะนองโดยไม่สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ เอเรสเป็นเทพที่เป็นอมตะ เมื่อได้รับบาดเจ็บจากสงคราม เอเรสจะกลับไปหาบิดา คือเทพเซอุส บิดาจะช่วยเยียวยาบาดแผลให้เอเรสจนหาย เอเรสไม่มีภรรยา แต่มีลูกที่ได้มาจากเทพธิดาอะโฟรไดตี
ชาวเมืองเทรเซียคือกลุ่มคนที่บูชาเทพเอเรส ชาวเมืองนี้ได้ฉายาว่าเป็นคนโหดร้าย
ชา วกรีกในยุคแรกๆ เชื่อว่าดาวอังคารเป็นดาวที่มีลักษณะพิเศษ ต่อมาในยุคโรมัน เทพแห่งดาวอังคาร เป็นเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิ การเจริญงอกงาม การสืบพันธุ์ และคุ้มครองฝูงสัตว์เลี้ยง นอกจากนั้นดาวอังคารยังเป็นสัญลักษณ์ของความตายและสงคราม ชาวโรมันเชื่อว่าเทพดาวอังคารเป็นบิดาของชาวโรมัน สถานที่สิงสถิตย์ของเทพดาวอังคารของโรมันอยู่ที่วิหารกราดิวุส ชาวโรมันจะมารวมตัวกัน ที่ก่อนออกไปทำสงคราม นอกจากนั้นยังมีสนามโล่งกว้างที่เรียกว่า The Campus Martius สนามแห่งนี้เป็นที่ฝึกฝนกีฬาและกองทหาร เมื่อเกิดสงคราม แม่ทัพจะแกว่งหอก และพูดตะโกนว่า "เทพแห่งดาวอังคารจงตื่นเถิด" เพื่อขวัญกำลังใจในการทำสงครามและชัยชนะ
ทุกๆวันที่ 1 มีนาคม จะมีพิธีเฉลอมฉลองเรียกว่า Feriae Marti และวันที่ 19 ตุลาคม จะมีพิธี Armilustrium

ซึ่ง เป็นพิธีที่ทหารจะนำอาวุธมาชำระล้างความบริสุทธิ์และเก็บไว้ในคลังอาวุธ
ใน ช่วงฤดูหนาว วันที่ 19และ 23 มีนาคมจะมีพิธีเรียกว่า
Quinquatrus พิธีนี้จะเป็นการนำอาวุธและแตรที่ใช้เป่าในการรบมาทำความ
สะอาด

ชาวฮินดู เรียกดาวอังคารว่า มังกาลา เป็นดาวแห่งสงคราม ซึ่งมีชื่อว่าคาร์ตติเก
ยา เทพแห่งสงครามเป็นบุตรของพระศิวะและพระนางปา
ร์วาตี เทพคาร์ตติเกยามี 6 เศียร 12 แขน มีพาหนะเป็นนกยูง และเป็นผู้ปราบ
ศัตรูที่ชื่อทารากา
 

ดาวพุฑ...ดาวแห่งเตาไฟแช่แข็ง



ดาวพุธ ดาวเคราะห์ชั้นในสุด มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เกือบจะกลม (ค่า Ecc) และมีคาบการโคจร รอบดวงอาทิตย์ ที่สั้นที่สุด จึงทำให้ดาวพุธเคลื่อนที่บนท้องฟ้าเร็วมาก คนกรีกโบราณจึงยกให้ดาวพุธเป็น ดาวตัวแทนของ เทพเมอร์คิวรี่ (Mercury) เทพแห่งการสื่อสาร เมื่อมองด้วยกล้องโทรทรรศน์จะเห็น ลักษณะของดาวพุธ เว้าแว่งเป็นเสี้ยวคล้ายกับดวงจันทร์
     การสังเกตดาวพุธ เราสามารถเห็นดาวพุธได้เป็นบางช่วง หากดาวพุธไม่โคจรมาอยู่หน้าดวงอาทิตย์หรือหลัง ดวงอาทิตย์ เราจะเห็นดาวพุธอยู่ทางซีกตะวันตกหลังดวงอาทิตย์ตกไปเล็กน้อย และทิศตะวันออกก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น เล็กน้อย อยู่สูงจากขอบฟ้าไม่เกิน 25 องศา และเห็นได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 20 นาที ก็จะลับขอบฟ้าไปหรือ แสงอาทิตย์ขึ้นมาบัง (ดูข้อมูลได้จาก: ตำแหน่งของดาวเคราะห์)
     ดาวพุธจึงโคจรอยู่ท่ามกลาง ความร้อนจัด ของดวงอาทิตย์ในระยะห่าง เฉลี่ย ประมาณ 58,000,000 กิโลเมตร ในขณะที่อยู่ห่างจากโลกของเราประมาณ 15,000,000 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้เมื่อเรามองดาวพุธจากโลก จึงเห็นดาวพุธอยู่ใกล้ ดวงอาทิตย์ ตลอดเวลา แต่เนื่องจากความสว่างของเวลากลางวัน ทำให้เราไม่สามารถเห็น ดาวพุธด้วย ตาเปล่า จนกว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หรือก่อนดวงอาทิตย์จะปรากฎในวันใหม่ กล่าวคือ ถ้าอยู่ทางทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์ จะลับขอบฟ้าหลังดวงอาทิตย์ จึงมีโอกาส เห็นอยู่ทางทิศตะวันตก ในเวลาหัวค่ำ แต่ถ้าอยู่ทางทิศตะวันตก ของดวงอาทิตย์ จะลับ ขอบฟ้า ก่อนดวงอาทิตย์ และจะขึ้นก่อนดวงอาทิตย์ ในเวลารุ่งเช้า จึงมีโอกาสเห็นอยู่ทาง ทิศตะวันออกในเวลาใกล้รุ่ง
      ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4,878 กิโลเมตร มีมวลประมาณ 0.054 เท่าของโลก ใช้เวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่งเป็นเวลาประมาณ 87.97 วัน หรือ 88 วัน ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร ซึ่งก่อนปี ค.ศ. 1965 นักดาราศาสตร์มีความเชื่อว่าดาวพุธใช้เวลาโคจรรอบ ดวงอาทิตย์ เท่ากับเวลาที่ใช้ใน การหมุน รอบตัวเอง นั่นหมายถึงว่า ดาวพุธจะหันด้านเดียวในการรับแสง จากดวงอาทิตย์ตลอดเวลา แต่เมื่อ Roef Dyee และ Gordon Effect นักวิทยาศาสตร์คอร์เนล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา นำเทคนิคของเรดาร์มาวัดการหมุนรอบตัวเอง ของดาวพุธ พบว่าใช้เวลาเพียง 58.65 วัน หรือประมาณ 59 วันเท่านั้น แต่ 1 วันบนดาวพุธจะยาวถึง 176 วันของโลก

ตำนานเตาไฟแช่แข็ง



 เมอคิวรี่เป็นโอรสของเซอุส หรือ จูปีเตอร์ เทพบิดา (ดาวพฤหัสบดี) น้องของอพอลโล กล่าวว่า พระองค์ถือกำเนิดตอนรุ่งอรุณ พระองค์เกิดได้เพียงวันเดียวก็ไปขโมยฝูงวัวของอพอลโล สุริยเทพผู้พี่ชายเสียแล้ว (เทวดาฝรั่ง อุบัติขึ้นเป็นโอปปาติกะ คือ โตขึ้นทันที) จึงแสดงนิสัยมักได้ออกมาทันที เซอุสหรือจูปีเตอร์ผู้บิดาต้องบังคับให้เมอคิวรี่คืนฝูงวัวอพอลโลไป แล้วยังสั่งให้เมอคิวรี่มอบพิณทำด้วยกระดองเต่าซึ่งเมอคิวรี่ได้ประดิษฐ์ ขึ้งเองมอบเป็นของขัวญให้แก่อพอลโลไปด้วย
เม อคิวรี่เคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเทวดาองค์อื่น เพราะมีของวิเศษประจำตน คือ หมวกวิเศษ ไม้เท้าวิเศษ กับข้อเท้าติดปีกทั้ง 3 แห่ง ปีกนั้นทำด้วยไม้จันทร์ พระองค์จึงเสด็จไปมาอย่างรวดเร็วแบบลัดนิ้วมือเดียว มารดาของเมอคิวรี่(ดาวพุธ)  มีพระนามว่า มายา เป็นธิดาของแอตลาสผู้มีพละกำลังและมีหน้าที่แบกโลกอยู่
เทพ เมอคิวรี่นี้มีรูปร่างงามสง่า เช่นเดียวกับอพอลโล ชาวกรีกและโรมัน ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการค้าขาย และเป็นเทพผู้ปกปักรักษา บรรดานายพาณิชย์ทั้งปวง อีกหน้าที่หนึ่งคือ ทรงเป็นผู้นำทางเฮรัลด์ ผู้นำวิญญาณมนุษย์ไปสู่ยมโลก อาณาจักรแห่งความตาย
เทพ เมอคิวรี่ มีชื่ออีกนามว่า เฮอร์เมส เทพเฮอร์เมสมีพรรณนาไว้ในคัมภีร์ของฝรั่งว่า ทรงมีปีกที่ข้อเท้าสองข้าง ทำให้สามารถไปไหนมาไหนได้รวดเร็ว และยังมีความสามารถทางการฑูตอีกด้วย
อย่างเมื่อคราวที่พลูโต ยมเทพ ลักพาพระนางเปอซิโฟน ธิดาสาวของเจ้าแม่โพสพ(คือเดมิเตอร์) เอาลงไปอยู่ด้วยกันยังใต้พิภพ
พระ นางเดมิเตอร์ทรงเสียใจ ไม่ยอมทำอะไรนอกจากกระเซอะกระเซิงไปตามที่ต่างๆ เพื่อหาบุตรสาวของนางจนทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารในโลกให้เหี่ยวเฉา พืชที่ปลูกไม่ขึ้น สัตว์เลี้ยงก็ล้มตายด้วยการขาดอาหาร มนุษย์เดือนร้อนมาก ความทราบถึงเทพเซอุส จึงทรงส่งใครต่อใครไปปลอบโยน
พระ นางเดมิเตอร์ทรงตรัสว่า พระองค์จะไม่ดูแลพืชผลของโลกอีกต่อไป ถ้าไม่ได้พบกับธิดาของพระองค์ ไม่มีใครทำสำเร็จ ที่สุดเทพเซอุส จึงส่งเฮอร์เมส ลงไปใต้พิภพ เพื่อขอเจรจากับพลูโต พลูโตต้องปฏิบัติตามคำสั่งเซอุส โดยส่งเปอซิโฟนกลับขึ้นไป แต่มีข้อแม้ว่าพระนางจะต้องผลัดเวียนอยู่กับมารดาและยมโลกทุกๆ ปี
เฮอร์เม ส นำ เปอซิโฟน ขึ้นรถม้าสีดำ รีบพากลับคืนสู่สำนักของเดมิเตอร์ทันที เมื่อพระนางเดมิเตอร์ดีใจที่ได้พบธิดา ต่อมาพืชพันธุ์ธัญญาหารในโลกก็กลับอุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
และในปีหนึ่งๆ เมื่อเปอซิโฟน ต้องกลับไปสู่ยมโลกเป็นเวลา 4 เดือน อันเป็นฤดูหนาว พืชพันธุ์บนโลกก็จะเหี่ยวแห้งในระยะนั้น
เฮอร์เม ส ดังประวัติกล่าวไว้แล้วว่า เมื่อเกิดขึ้นมาวันแรกก็ไปขโมยฝูงวัวของอพอลโลผู้พี่ชายทันที ดังนี้พระองค์ในสมัยต่อมาได้รับฉายาว่าเป็น "เจ้าแห่งโจร" และขณะเดียวกันก็นิยมยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการค้าขาย และยังเป็นเทพเจ้าแห่งตลาด ทรงมีหน้าที่คุ้มครองพ่อค้าโดยตรง
พระองค์เป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ภูเขาโอลิมปัส ซึ่งก็เช่นเดียวกับเทพเจ้า 12 พระองค์อันเป็นพี่น้องกัน


ดวงอาทิตย์...ดวงดาวที่ร้อนแรงดั่งเปลวไฟ


ดวงอาทิตย์เป็นส่วนสำคัญที่สุดของระบบสุริยะ เป็นผู้ดึงดูดให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอยู่ และดวงอาทิตย์ยังให้แสงและความร้อนกับดาวเคราะห์นั้นด้วย ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ระบบสุริยะก็จะมืดมิดและ หนาวเย็น เมื่อผ่าดวงอาทิตย์ออกมาเป็นชิ้นภายในดวงอาทิตย์นั้นไม่ได้แข็งเหมือนโลก ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่ม ก๊าซดวงใหญ่ที่ลุกเป็นเปลวไฟ ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียม ดวงอาทิตย์ไม่ได้เผาไหม้ ด้วยการเปลี่ยนก๊าซไฮโดรเจนเป็นก๊าซฮีเลียม ดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ร้อนที่สุดในรบบสุริยะที่ใจกลาง ดวงอาทิตย์ จะร้อนถึง15 ล้านองศาเซลเซียส ความร้อนขนาดนี้เพียงก้อนโตเท่าหัวเข็มหมุดก็จะทำให้คนที่ยืนอยู่ห่าง 150 กิโลเมตรตายได้

ตำนานดวงอาทิตย์
          ตำนานแห่งฟินิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในอารยธรรมโบราณไม่น้อย กล่าวกันว่า  นกฟินิกซ์นั้นเป็นนกที่สวยงามที่สุด มีขนาดใกล้เคียงกับนกอินทรี บ้างก็ว่าเป็นเครือญาติของหงส์และนกยูง มีสีแดงเข้มคล้ายสีเพลิง และมีแผงคอสีทอง หรือผสมด้วยสีแดงและน้ำเงิน บ้างก็ว่ามีสีม่วง  หรือ 5 สี ตามความเชื่อของจีน ที่เป็นเช่นนี้อาจจะมาจากเหตุผลที่ฟินิกซ์เป็นนกที่อายุยืนยาวถึง 500 ปี และสีแต่ละสีอาจเป็นการผลัดขนหลายครั้งในตลอดช่วงชีวิตของมันก็เป็นได้
                            ว่ากันว่า..เรื่องราวเริ่มแรกของนกฟินิกซ์มาจากวรรณกรรมกรีกโบราณที่ชื่อว่า Accout of Egypt ของกวี เฮโรโดตัส  ประมาณ 430 ปีก่อนคริสตกาล...ตามตำนานกล่าวว่า....นกฟินิกซ์มีอายุ 500 ปี เมื่อถึงเวลาใกล้จะหมดอายุขัย นกฟินิกซ์จะล่วงรู้ถึงชะตากรรม มันจะสร้างรังจากไม้เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม แล้วนั่งคอยที่กองฟืนไม้หอมและร้องเพลงอย่างสำราญใจ เมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่อง นกฟินิกซ์จะแผดเผาตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่าน จากเถ้าถ่านนั้นนกฟินิกซ์หนุ่มตัวใหม่จะกำเนิดขึ้น
                             ภารกิจแรก..ที่ฟินิกซ์หนุ่มต้องกระทำคือ การรวบรวมเถ้าถ่านของพ่อแม่แล้วนำไปฝังที่วิหาร เฮลิโอโปลิส  หรือนครแห่งตะวันในอียิปต์ จากนั้นก็จะบินกลับมาที่อาระเบียและใช้ชีวิตอยู่จนกว่าจะเปลี่ยนร่างอีกครั้ง

                                        จุดกำเนิดตำนาน..เกี่ยวกับนกฟินิกซ์นี้ อาจมาจากหนังสือแห่งเวทย์มนตร์เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า
Book of the Dead ซึ่งกล่าวถึงนกยักษ์ลักษณะคล้ายนกฟินิกซ์ นกยักษ์ตัวนี้เป็นต้นแบบของวิญญาณอิสระที่ลุกขึ้นมาจากกองเพลิง และบินไปยังเฮลิโอโปลิส เพื่อประกาศยุกต์ใหม่ เพราะว่าดวงอาทิตย์ได้สาดแสงไล่หลังนกที่บินจากตะวันออกไปยังตะวันตก นกจึงปรากฏตัวพร้อมกับเช้าวันใหม่จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งไฟและดวงอาทิตย์ไปในที่สุด  การที่นกฟินิกซ์สามารถเกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่านของตัวเอง จึงกลายเป็นตัวแทนของการฟื้นคืนชีพจากความตาย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กวีและนักเขียนหลายต่อหลายท่าน  จนเรื่องราวแห่งนกฟินิกซ์แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมยุโรปหลายต่อหลายเรื่อง
                          ยังมีเรื่องเล่าของฟินิกซ์ที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกันว่า  ในอดีต  เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์หรือที่รู้จักกันคือ  เทพอพอลโล  ได้เห็นความงดงามของนกฟินิกซ์ จึงได้ขอมาเป็นนกข้างกายพระองค์  พร้อมกับให้พรวิเศษคือ    ชีวิตอมตะ  แก่นกฟินิกซ์เป็นการตอบแทน  พอได้พรวิเศษ เจ้านกฟินิกซ์สุดแสนจะดีใจ มันค้อมศีรษะเพื่อแสดงความคารวะ  ในขณะที่เริ่มเปล่งเสียงร้องขับขานบทเพลงสรรเสริญ สุริยะเทพผู้รุ่งโรจน์  สุริยะเทพผู้สง่างาม  ข้าจะเป็นประหนึ่งผู้ขับขานบทเพลงเพียงเพื่อท่าน เป็นนกฟินิกซ์แห่งสุริยเทพแต่เพียงผู้เดียวชั่วนิรันดร์  และทุกวันจะบินไปทางตะวันออก เพื่อคอยร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าแห่งดวงพระอาทิตย์ ในช่วงเช้าตรู่
              ทว่า.....เมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี เจ้าฟินิกซ์ก็เริ่มแก่ตัวลง ไม่มีแรงที่จะร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าได้เช่นเดิม นกฟินิกซ์จึงได้ร้องขอเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ช่วยทำให้ตัวเองกลับมาเป็นหนุ่มและแข็งแรงอีกครั้ง แต่เหมือนคำขอดังกล่าวจะไม่ได้รับการตอบรับใดๆ..ดังนั้น  เจ้าฟินิกซ์จึงตัดสินใจบินกลับรังตัวเอง  ระหว่างทางได้พบบรรดาไม้หอมนานาชนิดจึงเก็บไปด้วย เพื่อนำมาสร้างรังบนยอดปาล์ม หลังจากนั้นก็ร้องขอให้เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ประทานความหนุ่มและความแข็งแรงให้อีกครั้ง
             ไม่นาน.....ท้องฟ้าก็ปั่นป่วนและเกิดฟ้าฝ่าลงบนรังของเจ้าฟินิกซ์  ส่งผลให้รังและเจ้านกฟินิกซ์ถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน  และกลายเป็นนกฟินิกซ์หนุ่มตัวใหม่  พร้อมกับเริ่มทำหน้าที่ขับกล่อมเสียงเพลงให้แก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ได้อีกครั้ง  และทุกๆ 500 ปีล่วงผ่านไป นกใหญ่แห่งสุริยะตัวนี้ จะบินกลับมายังที่เดิมเพื่อให้สุริยะเทพเผาตัวเองเพื่อการกลับสู่นกตัวใหม่ที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
                              ตำนานกรีก..ยังเล่าขานอีกว่า...นกฟินิกซ์จะอาศัยอยู่ในแถบอาระเบีย  โดยจะอาศัยอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น  ทุกๆเช้าที่ตะวันเริ่มสาดแสง เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะต้องหยุดรถม้าเพื่อฟังเสียงร้องอันแสนไพเราะของนกฟินิกซ์ยามที่มันเล่นน้ำทุกวัน  อาหารโปรดของเจ้านกชนิดนี้ สุดแสนจะศิวิไลซ์  นกฟินิกซ์ชอบกินสายลมอ่อนๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือหมอกบริสุทธิ์ ที่ลอยขึ้นแม่จากแม่น้ำหรือทะเล.........
                ยังมีการพูดถึงคุณลักษณะพิเศษของเจ้าฟินิกซ์เอาไว้อีกว่า ฟินิกซ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยอ่อนโยน  สามารถหายตัวและปรากฏตัวใหม่ตามใจนึก เช่นเดียวกับ ตัวดิริคอร์ล  เพลงของนกฟินิกซ์มีเวทย์มนตร์ สามารถกระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดร้าย  และน้ำตาของนกฟินิกซ์เป็นดังโอสถทิพย์แห่งสวรรค์ที่มีพลังในการรักษาบาทแผลและชุบชีวิตได้  แต่ถึงกระนั้นเจ้านกฟินิกซ์ก็ยากจะหลังน้ำตาให้ใคร  ยกเว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะมีคุณงามความดีมากพอที่จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
            จากวงจรชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของเจ้านกฟินิกซ์นี้เอง  ที่ทำให้ตำนานของกรีกและโรมันเชื่อว่านกฟินิกซ์เป็นสัญลักษณะของการมีชีวิตเป็นอมตะ  การฟื้นคืนชีพ และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์   แม้กระทั่งในช่วงต้นของคริสต์ศาสนาก็ได้มีการนำรูปนกฟินิกซ์มาสลักบนลวดลายบนหินปิดหลุมฝังศพ ซึ่งหมายถึงผู้ที่จากไปจะฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งนั่นเอง......
                              เรื่องราวความเป็นอมตะของเจ้านกฟินิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดัง  ฮิโนโทริ  วิหคเพลิง  ผลงานของ เท็ตซึกะ  โอซามุ  การ์ตูนที่แฝงไว้ด้วย ปรัชญาแห่งชีวิตที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุด เรียกว่าเป็นมังงะที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งที่นักอ่านไม่ว่ารุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าไม่ควรพลาด เนื้อหาเป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคำร่ำลือที่ว่า....ผู้ใดที่ได้ดื่มเลือดของฮิโนโทริ หรือวิหคเพลิงจะมีชีวิตเป็นอมตะและด้วยความกระหายของมนุษย์นี่เอง นำมาซึ่งสงครามล้างแผ่นดิน....เนื้อเรื่องนอกจากจะกล่าวถึงการเกิดและตายของนกฟินิกซ์ฌแกเช่นเดียวกับในตำนานฝั่งตะวันตกแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิตมากมาย  ดั่งตัวอย่างตอนหนึ่งที่  นาคี ลูกบุญธรรมของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ถามนกฟินิกซ์ว่า  ทำไมเจ้าถึงไม่ตาย  ขณะที่พวกเรามนุษย์ต้องตายทุกคน  ทำไมถึงอยุติธรรมแบบนั้น  อยุติธรรมเหรอ???... พวกเธอต้องการอะไร อำนาจที่จะไม่ตาย หรือความสุขในการมีชีวิต   วิหคเพลิงพูด  ฉันไม่รู้หรอก แต่เจ้าก็ดูมีความสุขไม่ใช่เหรอที่ไม่ตาย    นาคีว่า นาคี ดูที่เท้าเธอสิ มีแมลงอยู่ พวกนั้นมีชีวิตยืนยาวแค่ครึ่งปี แมงเม่ายิ่งสั้นใหญ่ พวกมันมีอายุแค่ 3 วันเท่านั้น  มนุษย์มีชีวิตยืนยาวกว่าแมลง ปลา หมา แมวหรือลิง   ตลอดชีวิตถ้าได้พบความยินดีในการมีชีวิต นั่นคือความสุขที่แท้จริงมิใช่หรือ???...” วิหคเพลิงกล่าวย้ำ

                 แม้ฟินิกซ์จะเป็นเพียงนกในตำนาน  แต่ก็เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ให้เล่าขานไปอีกนาน  โดยเฉพาะการเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อให้ชีวิตใหม่ได้ดำเนินต่อไป
…...


     

ดาวศุกร์...ดวงดาวที่สวยงามและสว่างที่สุด

ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุดในระบบสุริยะ บนดาวศุกร์ร้อนถึง 480 องศาเซลเซียส ความร้อนขนาด นี้มากจนทำให้ของทุกอย่างลุกแดงดาวศุกร์มีไอหมอกของกรดกำมะถันปกคลุมอย่างหนาแน่น ไอหมอกนี้ ไม่มีวันจางหายแม้ว่าแสงอาทิตย์จะจัดจ้าเพียงไร จึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะไปเยี่ยมดาวศุกร์ เพราะพอไปถึง เขาจะถูกย่างจนสุกด้วยความร้อนและถูกผลักดันด้วยแรงลม เขาจะหายใจไม่ออกเพราะอากาศหนาหนักที่ กดทับตัวนั้นเป็นอากาศพิษจากหมอกควันของกรดอากาศบนดาวศุกร์ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโลกกว่า60เท่าผิวดาวศุกร์แห้งแล้ง เป็นหินและร้อนจัดนอกจาก นี้ก็มีรอยแยกลึกและภูเขาไฟดับ


ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 มีขนาดเล็กกว่าโลกเล็กน้อย จึงได้ชื่อว่าเป็นดาวฝา แฝดกับโลก เป็นดาวเคราะห์ที่ปรากฏสว่างที่สุด สว่างรองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ถ้าเห็นทางทิศตะวัน ตกในเวลาค่ำเรียกว่า ดาวประจำเมือง และถ้าเห็นทางทิศตะวันออกในเวลาก่อนรุ่งอรุณ เรียกว่า ดาวประกายพรึก ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างรุนแรง เพราะมีบรรยากาศหนาทึบด้วยคาร์บอน ไดออกไซด์ ดาวศุกร์จึงร้อนมาก อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยสูงกว่าดาวพุธ ดาวศุกร์มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกที่สุด ใกล้ กว่าดาวพุธ ซึ่งนักดาราศาสตร์ยุคโบราณเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ใกล้โลกที่สุด ลักษณะพิเศษของดาวศุกร์คือ หมุนรอบ ตัวเอง 1 รอบใช้เวลานานกว่าการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ และถ้าเราอยู่บนดาวศุกร์เวลา 1 วัน จะไม่ยาว เท่ากับเวลาที่ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ นี่คือลักษณะพิเศษที่ดาวศุกร์ไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงใดๆ นอก จากนี้ดาวศุกร์ยังหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือหมุนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ในขณะที่เคลื่อนที่รอบดวง อาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ดาวศุกร์จึงหมุนสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และหมุนสวนทางกับ การเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองรอบละ 243 วัน แต่ 1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก เพราะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกยาวนาน 58.5 วันของโลก ดาวศุกร์เคลื่อนรอบดวง อาทิตย์รอบละ 225 วัน 1 ปีของดาวศุกร์จึงยาวนาน 225 วันของโลก

ตำนานดาวศุกร์

เทพีวีนัส (อังกฤษ: Venus) เป็นเทพีแห่งเทพปกรณัมโรมันที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความรักและความงาม หรืออีกชื่อคือ อโฟรไดท์ (Aphrodite) แห่งเทพปกรณัมกรีก พระนางเป็นชายาของเทพวัลคัน (Vulcan)หรือ เฮฟเฟสตุส เทพแห่งงานช่าง เทพีวีนัสตามตำราว่าเกิดขึ้นเองจากฟองทะเล ด้วยพระนามของพระนาง อะโฟรไดท์ นั้น มาจากคำว่า 'Aphros'ที่แปลว่าฟอง ซึ่งมีตำนานว่าพระนางเกิดในทะเลใกล้เกาะไซเธอรา และถูกคลื่นซัดไปยังเกาะไซปรัส แต่บางตำราว่าเป็นธิดาของเทพซุสที่เกิดจากจากนางอัปสรไดโอนี แต่ที่ตรงกันคือพระนางมีความงดงามที่ไม่มีใครเทียมได้แม้กระทั่งเทพธิดาด้วย กัน และสามารถสะกดใจผู้ชายทุกคนได้ภายในพริบตาแรกที่มองเห็นพระนาง อีกทั้งพระนางก็ชอบใจในความสวยงามของตนเองมากเสียด้วย พระนางจึงไม่ยอมเด็ดขาดหากใครจะกล้าล้ำเส้นเทพีความงามของพระนาง ด้วยแรงริษยาที่รุนแรงพอๆกับรูปโฉมสะสวยทำให้เทพีวีนัสเป็นที่หวาดหวั่นของ เทพหลายๆองค์
ในวันแรกที่เทพีวีนัสปรากฏตัวบนเขาโอลิมปัส เทพชายทุกองค์โดยเฉพาะเทพซุสเองก็อยากได้พระนางมาครอบครอง แต่เทพีวีนัสไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยหัวอ่อนว่าง่าย ทำให้เทพซุสเกิดความโมโหและแก้เผ็ดพระนาง โดยจับพระนางแต่งงานกับเทพวัลแคนพระโอรสของพระองค์ ซึ่งเทพวัลแคนชอบขลุกอยู่ในโรงงาน ก่อสร้าง และประดิษฐ์สิ่งต่างๆเนื้อตัวมอมแมม แถมยังเป็นเทพขาเป๋ ทำให้เทพีวีนัสโกรธเคืองอย่างมาก แต่พระนางก็กล้าทำในสิ่งที่เทพีอื่นๆ ไม่กล้า นั่นคือการคบชู้สู่ชายแบบตามใจชอบ ดังเช่น
  • เทพอาเรส เทพแห่งสงคราม โอรสอีกองค์ของเทพซุสและเป็นน้องชายร่วมท้องของเทพวัลแคน ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตางดงามหล่อเหลา ทำให้ทั้งสองเทพเทพีเกิดรักใคร่กันในใจเงียบๆแต่แรกเจอ แต่เมื่อเทพีวีนัสถูกจับคลุมถุงชน ทั้งสองจึงยอมอยู่กินกันแบบชู้รักอย่างมีความสุข กระทั่งมีพยานรักด้วยกันถึง 4 องค์ คือ
    • คิวปิด กามเทพ เทพเจ้าแห่งความรัก มีชายาเป็นคู่แค้นเก่าของมารดานามว่า เทพีไซคี และมีธิดาหนึ่งองค์กับพระชายา นามว่า เดลิซิโอ
    • แอนตีรอส โอรสองค์รอง เป็นเทพเจ้าแห่งการรักตอบ
    • ฮาร์โมเนียหรือ เฮอร์ไมโอนี ธิดาองค์ที่สาม ซึ่งเทพอาเรสยกให้แต่งงานกับแคดมัส ผู้ก่อตั้งเมืองธีบส์ โดยเทพอาเรสไม่รู้เลยว่า พระองค์ได้สาปแช่งแคดมัสไว้ ธิดาองค์นี้ในที่สุดก็กลายร่างเป็นงูตามสวามี และลูกหลานสืบต่อมาจึงประสบกับชะตาอันน่าเศร้า อย่างที่รู้จักกันดีคือ โอดิปุส ผู้ซึ่งฆ่าพ่อของตนและได้แม่เป็นภรรยา
    • อัลซิปเปธิดา องค์สุดท้อง มีรูปโฉมงดงามจนถูกโอรสเทพโพไซดอนลักพาตัวไป ท้ายสุดเทพอาเรสตามชิงธิดากลับมาได้ และฆ่าโอรสเทพโพไซดอนตาย เทพโพไซดอนโกรธเคืองมากถึงขนาดต้องขึ้นศาลกับเทพอาเรส แต่ท้ายที่สุดเทพอาเรสชนะความ
  • เทพเฮอร์มีส ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดากับเทพอาเรสและเทพวัลแคน เป็นเทพแห่งการติอต่อสื่อสาร การโกหก และการขโมย ทั้งสองมีโอรสชายด้วยกันหนึ่งองค์คือ เฮอร์มาโฟไดทัส แต่ภายหลังก็กลายเป็นเทพสองเพศ เพราะมีนางอัปสรชื่อ ซาลมากิส มาหลงรักเฮอร์มาโฟไดทัส ทว่าเขาไม่ไยดีต่อนางเลย นางจึงวิงวอนแก่เทพเจ้าให้นางได้ติดตามเขาไปทุกที่ ท้ายสุด นางซาลมากิสก็ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเฮอร์มาโฟไดทัสตามแรงอธิษฐาน ทำให้เฮอร์มาโฟไดทัสมีสองเพศนับแต่นั้นมา
  • อาโดนิส ชายรูปงามซึ่งเป็นต้นกำเนิดของดอกกุหลาบ เล่ามาว่า ครั้งหนึ่งในป่าใหญ่ ขณะเทพีวีนัสกำลังประพาสป่า เกิดพบต้นไม้ใหญ่งดงามต้นหนึ่งหักโค่นลง และภายในมีเด็กชายหน้าตาน่ารักอยู่ พระนางจึงรับเด็กชายไว้และตั้งชื่อเขาว่า อาโดนิส พระนางฝากเทพีเพอร์เซโฟนี่มเหสีแห่งเทพฮาเดสดูแล จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมา เทพีวีนัสบังเอิญถูกศรรักของโอรสสะกิดจนเป็นแผลเล็ก และเวลาประจวบเหมาะกับที่อาโดนิสเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วมาปรากฏตรงหน้าพระนาง ทำให้เทพีวีนัสหลงรักอาโดนิสปักใจ และขออาโดนิสคืนจากเทพีเพอร์เซโฟนี่ แต่องค์เทพีไม่ยินยอมด้วยความผูกพันที่มีต่อชายหนุ่ม ทั้งสองเทพีจึงเกิดเบาะแว้งกันใหญ่โต เทพซุสจึงตัดสินให้อาโดนิสสามารถอยู่กับเทพีวีนัสสี่เดือนบนโลกมนุษย์ อยู่อีกสี่เดือนในยมโลกกับเทพีเพอร์เซโฟนี่ และอีกสี่เดือนอาโดนิสจะอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจ (บางตำราก็ว่า แบ่งระหว่างสองเทพีองค์ละ 6 เดือน) แต่เทพอาเรสหึงหวงชายา(ลับ)ของตนมาก จึงแปลงเป็นหมูป่าที่อาโดนิสชอบล่าลวงเขาเข้าป่าไปและฆ่าทิ้ง เทพีวีนัสเสียใจมากที่พบแต่ศพของชายคนรัก พระนางจึงเนรมิตดอกไม้งามขึ้นมาจากเลือดของอาโดนิส ซึ่งเป็นดอกไม้สัญลักษณ์แห่งความรัก ดอกกุหลาบนั่นเอง
  • แอนไคซีส แอนไคซีสเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นบุตรเขยของท้าวอิลัสปู่ของท้าวเพรียมฝ่ายทรอย ทั้งๆที่เขามีชายาอยู่แล้ว แต่เทพีวีนัสก็หลงใหลในตัวของแอนไคซีสมาก พระนางแปลงตัวมาเป็นนางอัปสรประจำเขาไอดา และหาโอกาสใกล้ชิดกับแอนไคซีส จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ อีเนียส วีรบุรุษฝ่ายทรอยในสงครามทรอย ผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ เป็นต้น

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กลุ่มดาวปู...ดาวแห่งท้องทะเล

กลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวที่ถัดมาจากกลุ่มดาวคนคู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวปูระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม กลุ่มดาวปูประกอบไปด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 5 ดวงทำให้มองเห็นได้ยาก แต่ในต้นเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นได้ตลอดคืน ในกลุ่มดาวปูนี้จะมีฝ้าขาวๆอยู่ เรียกว่า กระจุกดาวรวงผึ้ง ( PRAESEPE ) หรือ ที่คนไทยเรียกว่า กระจุกดาวปุยฝ้าย ซึ่งเป็นกระจุกดาวเปิดประกอบไปด้วยดาวฤกษ์จำนวนมาก และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

กลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์...ดวงดาวแห่งหมีใหญ่

ชื่อย่อ:Boo
ชื่อคุณศัพท์:Boötis
สัญลักษณ์:คนเลี้ยงหมี
ไรต์แอสเซนชัน:15 ชั่วโมง
เดคลิเนชัน:+30°
เนื้อที่:907 ตารางองศา (อันดับที่ 13)
จำนวนดาวฤกษ์:
(ความส่องสว่างปรากฏน้อยกว่า 3)
3
ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด:ดาวดวงแก้ว (α Boo)
(ความส่องสว่างปรากฏ = −0.04)
ฝนดาวตก:ฝนดาวตกคนเลี้ยงสัตว์มกราคม
ฝนดาวตกคนเลี้ยงสัตว์มิถุนายน
ฝนดาวตกควอดแดรนต์
กลุ่มดาวที่ติดกัน:กลุ่มดาวหมาล่าเนื้อ
กลุ่มดาวผมเบเรนิซ
กลุ่มดาวมงกุฎเหนือ
กลุ่มดาวมังกร
กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส
กลุ่มดาวงู
กลุ่มดาวหญิงสาว
กลุ่มดาวหมีใหญ่